
Collaboration ที่ไม่เวิร์ก มักเริ่มต้นจากคำว่า “มาทำอะไรร่วมกันไหม?”
แต่ Collaboration ที่เวิร์ก มักเริ่มจากคำถามที่ว่า “คุณกำลังติดตรงไหนอยู่?”
เจ้าของธุรกิจจำนวนมากพลาดโอกาสการจับมือที่ดี เพราะนำเสนอ “สิ่งที่ตัวเองมี” แทนที่จะเริ่มจาก “สิ่งที่อีกฝ่ายกำลังขาด”
ในโลกธุรกิจที่ทุกคนยุ่งและมีทางเลือกมากขึ้นเรื่อย ๆ คนจะตอบรับเฉพาะสิ่งที่ แก้ปัญหาเขาได้ทันที ไม่ใช่แค่ดูน่าสนใจ
บทความนี้จะช่วยให้คุณ “เปลี่ยนมุมมอง” การชวน Collaboration จาก “การเสนอ” → “การแก้ Pain Point”
และที่สำคัญคือ ต่อให้คุณไม่มีชื่อเสียง ฐานผู้ติดตามน้อย ก็ยังสามารถจับมือกับพาร์ทเนอร์ได้… ถ้าคุณเข้าใจ Pain ของเขาจริง
Pain Point = จุดเริ่มต้นของความสนใจ
เราตอบไลน์เฉพาะข้อความที่ “ตรงกับปัญหาเราตอนนี้”
พาร์ทเนอร์ก็เหมือนกัน — เขาไม่ได้รอ “คนที่อยากมาร่วม”
แต่เขารอ “ใครบางคนที่เห็นสิ่งที่เขายังไม่ลงตัว”
Pain Point อาจมาในรูปแบบของ:
- กลุ่มลูกค้าที่เขาอยากเข้าถึงแต่ยังไม่มี
- Content type ที่เขาทำไม่เก่ง (เช่น เขียนเก่งแต่ทำวิดีโอไม่คล่อง)
- ความน่าเบื่อของแบรนด์ตัวเองที่อยากหา partner มา remix
- ความต้องการพัฒนา loyalty หรือหลังการขาย
ลองมองหาจุดที่ “เขาติด แต่ไม่พูดตรง ๆ” แล้วเสนอตัวเป็นคนแก้ให้แบบ win-win
ตัวอย่างคำเปิดแบบ Pain-based Collaboration Pitch
“เห็นคุณเริ่มเจาะตลาดเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ แต่เนื้อหาใน TikTok ยังไม่ได้เล่น — ผมมีฐานผู้ชมวัย 25–35 ที่ชอบแนว Soft Edu
ถ้าได้ทำวิดีโอร่วมกัน อาจช่วยขยายพื้นที่ฝั่งนี้ของคุณให้เร็วขึ้นครับ”
หรือแบบนี้:
“คอนเทนต์ของคุณลึกและน่าเชื่อถือมาก แต่ยังขาด Lead Magnet ที่โหลดแล้วรู้สึก ‘เบาแต่ได้ประโยชน์ทันที’ — ถ้าสนใจ ผมยินดีออกแบบร่วมให้ แล้วเราสามารถ Cross-Promote กันได้ครับ”
สิ่งสำคัญคือ คุณพูดถึง “สิ่งที่เขาอยากได้อยู่แล้ว” ไม่ใช่แค่บอกว่า “อยากร่วมเพราะเราชอบคุณ”
ถ้าคุณยังไม่ถนัดวิเคราะห์ Pain จากมุมมองภายนอก ลองใช้ Collaboration Pain Insight Worksheet ที่ช่วยตั้งคำถาม 5 ข้อเพื่อสกัดสิ่งที่อีกฝ่ายอาจกำลังติดโดยไม่พูดออกมา
Pain ต้องมาพร้อม “ข้อเสนอแบบเร็วและเบา”
ความเข้าใจ Pain ไม่พอ ถ้าคุณยังส่งกลับไปพร้อมข้อเสนอที่ต้องรอ, ต้องลงทุน, หรือซับซ้อน
ข้อเสนอที่ทำให้คนพิจารณาร่วมมือทันที ต้องมี 3 สิ่ง:
- ทำให้เร็ว (ภายใน 7 วันเห็นผลหรืออย่างน้อยได้ content ร่วม 1 ชิ้น)
- ง่ายต่อการตัดสินใจ (แค่พยักหน้าก็เริ่มได้เลย)
- เบาต่อความเสี่ยงของเขา (ไม่ผูกพันแบบยาว ไม่ใช้งบ ไม่กระทบภาพลักษณ์)
ตัวอย่าง:
- “โพสต์ร่วมแบบ Quote สั้น ๆ — คุณส่งประโยคเดียว ผมจัดภาพ + caption ให้เอง”
- “Live IG สั้น 15 นาที ในช่วงเวลาที่คุณสะดวก — ผมเตรียมสคริปต์ไว้ให้แล้ว”
- “แจก eBook ร่วม — ผมเขียนให้ 80% แค่คุณเสริมท่อนเปิดหรือท้ายบท”
หากคุณยังไม่มีโครงสร้างข้อเสนอเบา ๆ เหล่านี้ ลองใช้ Mini-Collab Offer Kit ที่รวมตัวอย่างความร่วมมือแบบเร็ว เบา และไม่ต้องใช้ทีม
เจอ Pain แล้ว แล้วยังไงต่อ?
Pain → ข้อเสนอ → ตอบโจทย์ = โอกาสร่วมมือ
ให้คุณเขียนออกมาในรูปแบบ deck 3 หน้า:
- Slide 1: Pain ที่คุณเห็นในสิ่งที่เขากำลังทำ
- Slide 2: สิ่งที่คุณสามารถทำให้ (พร้อมภาพตัวอย่าง)
- Slide 3: ข้อเสนอ win-win ที่เริ่มต้นง่ายที่สุด พร้อม next step ชัดเจน
ไม่ต้องเป็น deck ใหญ่ — แค่ 3 หน้าใน Canva ก็เปลี่ยน impression ได้ทันที
สามารถใช้ Pitch-on-Pain Deck Template ที่ออกแบบมาเพื่อการนำเสนอแบบมืออาชีพในน้อยสไลด์
ตัวอย่างจริง: แบรนด์ขายผ้าทอท้องถิ่น จับมือกับร้านของขวัญที่อยากได้ความหมาย
เจ้าของแบรนด์ผ้าทอจากเชียงราย เห็นร้านของขวัญใน IG ที่ดีไซน์น่ารักแต่ยังไม่มี “เรื่องราว”
เขาเสนอว่า:
“เห็นคุณอยากเล่าเรื่อง ‘ของที่มีความหมาย’ — ผ้าเราใช้ลายโบราณที่มีความหมายต่อผู้ให้และผู้รับ
ถ้าคุณอยากมีคอลเลกชันใหม่ที่สื่อใจได้มากกว่าเดิม ผมขอเสนอผ้า Mini Wrap + Card ชุดเล็กที่จะส่งฟรีให้คุณทดลองถ่ายภาพเลยครับ”
ร้านของขวัญตอบกลับใน 2 ชั่วโมง และตอนนี้กลายเป็นคอลเลกชันประจำฤดู
บทสรุป: Pain คือคำเชิญร่วมงานที่ดีที่สุด
คนไม่อยาก “รับไอเดียเพิ่ม” แต่ยินดี “ร่วมมือกับคนที่ช่วยแก้สิ่งที่ติดอยู่”
Collaboration ที่เวิร์ก เริ่มจากคุณเข้าใจ Pain ก่อนใคร
พูดให้เขารู้สึกว่า “คุณสังเกตสิ่งที่แม้แต่เขาเองก็ไม่พูดออกมา”
จากนั้นเสนอสิ่งที่ช่วยแบบเร็ว, เบา, พร้อมเริ่มได้เลย
นี่แหละคือการชวนร่วมงานแบบที่ “ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ”